100 ปี แห่งวันประสูติ
เสด็จในกรมฯ
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต
โดย คุณกิตติพงษ์ วิโรจน์ธรรมากูร
เนื่องในวโรกาสครบรอบ 100 ปี แห่งวันประสูติ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต องค์เจ้าของวังสวนผักกาด
ซึ่งจะบรรจบครบรอบในปีพุทธศักราช 2547 นี้ บรรดาหน่วยงานต่างๆ
ก็ได้พร้อมใจกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์
ในฐานะที่ได้ทรงประกอบคุณูปการต่อบ้านเมือง
โดยเฉพาะในแวดวงการสาธารณสุขและกิจการสภากาชาดไทย
ตลอดจนทรงเป็นนักอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าของชาติสืบมาถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะหมู่ตำหนักไทยและหอเขียนยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาภายในพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
รวมถึงสวนอุทยานวังตะไคร้ ที่จังหวัดนครนายกด้วย
ในวาระโอกาสนี้ขอร่วมเทิดพระเกียรติแด่พระองค์
ด้วยการนำเสนอพระประวัติและพระกรณียกิจบางประการมา ณ โอกาสนี้
พระประวัติ
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต
มีพระนามเดิมว่า
พระองค์เจ้าชายจุมภฏพงษ์บริพัตร
เป็นพระโอรสองค์ใหญ่ในจอมพลเรือ จอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
(องค์ต้นราชสกุล บริพัตร)
และหม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร (พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย องค์ต้นราชสกุล ไชยันต์)
เป็นพระมารดา ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2477
มีพระขนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระชนนีรวมทั้งสิ้น 8 พระองค์
โดยเรียงตามลำดับพระชันษาดังนี้
1.
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต
2.
พระองค์เจ้าหญิงศิริรัตนบุษบง
3.
พระองค์เจ้าหญิสุทธวงษ์วิจิตร
4.
พระองค์เจ้าหญิงพิสิษฐ์สบสมัย
5.
พระองค์เจ้าหญิงจุไรรัตนศิริมาน
6.
พระองค์เจ้าหญิงจันทรกานตมณี
7.
พระองค์เจ้าหญิง(สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังไม่มีพระนาม)
8.
พระองค์เจ้าชายปิยชาติสุขุมพันธุ์ (สิ้นพระชนม์ตอนพระชันษาได้ 2 ขวบ)
นอกจากนี้ยังมีพระขนิษฐาและพระอนุชาที่ประสูติจากหม่อมสมพันธ์ (ปาลกะวงศ์
บริพัตร ณ อยุธยา) อีก 2 พระองค์ คือ
1.
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอินทุรัตนา
2.
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายสุขุมาภินันท์
ในช่วงพระเยาว์ขณะมีพระชันษาได้ 10 ป
ีได้ทรงเข้าพิธีโสกันต์ในพระบรมมหาราชวัง ตามโบราณราชประเพณีของเจ้านาย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประกอบพิธีขึ้นเป็นกรณีพิเศษ หลังจากนั้นในระหว่างปี พ.ศ. 2454-2461
ได้ทรงเริ่มเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษชั้นต้นที่วังบางขุนพรหมอันเป็นที่ประทับของเหล่าราชสกุล
บริพัตร
หรือที่พวกฝรั่งสมัยนั้นให้ฉายาว่า บางขุนพรหมยูนิเวอร์ซิตี้
และได้ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์จนจบหลักสูตร
ต่อมาในปีพ.ศ. 2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ
พร้อมกับนักเรียนไทยกว่า 30 คน ที่ตกค้างในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
นักเรียนไทยกลุ่มนี้ก็ได้เรียนสำเร็จกลับมารับใช้ประเทศชาติในตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ
ในระหว่างปี พ.ศ. 2464-2468 ได้ศึกษาต่อชั้นไฮสคูลที่โรงเรียนแฮโรจนจบหลักสูตร
หลังจากนั้นได้ทรงสอบเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาปรัชญา รัฐศาสตร์
และเศรษฐศาสตร์ในสำนักไครสต์เชิร์ชแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
ในปลายปีพ.ศ. 2468
พระองค์ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย
ในโอกาสนี้ทรงได้รับพระราชทานพระยศร้อยตรีนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1
มหาดเล็กรักษาพระองค์
ในระหว่างนี้ได้ทรงรู้จักสนิทชิดชอบกับสุภาพสตรีสาวสวยท่านหนึ่ง เป็นธิดาในพระวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นเทวะวงศ์วโรทัย มีนามว่า ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ เทวกุล
หรือที่ชาววังสวนผักกาดเอ่ยนามว่า
คุณท่าน
ซึ่งเคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งพระกำนัลรุ่นแรกในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 พระบิดาจึงได้ทรงสู่ขอตามประเพณี
และได้จัดพิธีหมั้นในปีพ.ศ.2472
ในปีเดียวกันนี้เองพระองค์ทรงเรียนจบปริญญาตรี
ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
นับเป็นคนไทยพระองค์แรกที่ทรงได้รับปริญญานี้
ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย
ทรงได้รับการยกย่องจากบรรดานักปราชญ์ อาจารย์
และนักศึกษาร่วมชั้นเรียนในฐานะที่ทรงพระปรีชาสามารถและทรงรอบรู้ในวิทยาการต่างๆ
อย่างดียิ่ง หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จเดินทางกลับประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ประกอบพิธีเสกสมรสพระราชทาน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2473 ณ
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
และได้ทรงพระกรุณาให้พระองค์พร้อมด้วยชายาประทับที่วังสวนกุหลาบตั้งแต่นั้นมา
ทรงมีพระธิดา 1 พระองค์คือหม่อมเจ้าหญิงมารศีสุขุมพันธุ์
ปัจจุบันทรงมีพระชันษา 73 ปี
ทรงรับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ภายหลังทรงสำเร็จการศึกษา
ได้ทรงเข้ารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2473 ในตำแหน่งเลขาณุการเสนาบดี
โดยมีพระยาโกมารกุลมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร)เป็นเสนาบดีในขณะนั้น
และได้รับพระราชทานพระยศเป็นรองอำมาตย์เอก ต่อมาในปี พ.ศ. 2474
ทรงได้รับตำแหน่งเป็นเลขาณุการกระทรวงพระคลังฯ
และได้เลื่อนพระยศเป็นอำมาตย์ตรีพร้อมกับได้เลื่อนพระยศทหารเป็นร้อยโทนายพิเศษในสังกัดเดิม
พระองค์ได้ทรงรับราชการในกระทรวงพระคลังฯ
ตราบจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศในปีพ.ศ. 2475
จึงได้กราบบังคมทูลลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2475
เพื่อตามเสด็จพระบิดาและครอบครัวไปประทับยังเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย
เนื่องจากทรงถูกมรสุมทางการเมืองรุมเร้าจนบ้านแตกสาแหรกขาด (ให้ดูหนังสือ
ชีวิตในวังบางขุนพรหม
โดย กิตติพงษ์ วิโรจน์ธรรมากูร)
พระยาโกมารมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร)
อดีตเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้กล่าวถึงความประทับใจในพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ในช่วงระหว่างทรงงานที่กระทรวงพระคลังฯ
ไว้ตอนหนึ่งว่า
ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของพระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต กับข้าพเจ้าเริ่มขึ้นที่หัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธุ์ในปีพ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระราชดำรัสแก่ข้าพเจ้าที่พระราชวังไกลกังวลว่า พระองค์จุมภฏฯ
ทรงศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์และการคลังมา
ถ้าได้รับราชการในกระทรวงพระคลังฯจะดีมาก
ว่าตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว พระองค์จุมภฏฯ
น่าจะรับราชการในกระทรวงที่มีเจ้านายทรงเป็นเสนาบดีจะเหมาะกว่า
ซึ่งในขณะนั้นมีถึง 6 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย(จอมพลเรือ จอมพล
สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต) กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม(พลเอก
กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน) กระทรวงกลาโหม (พลเอก พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าบวรเดช) กระทรวงทหารเรือ (พลเรือเอก กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร)
กระทรวงการต่างประเทศ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทวะวงศ์วโรทัย)
และกระทรวงธรรมการ (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรณ์)
ที่ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นเพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าโดยพระราชบัญญัติสืบราชสันตติวงศ์
พระองค์จุมภฏฯ เป็นพระองค์เจ้าที่ทรงฐานันดรศักดิ์สูงมาก
ส่วนข้าพเจ้าเป็นเพียงสามัญชน
ถ้าจะแสร้งยกย่องก็ยกย่องได้อย่างมากเพียงว่าเป็นเชื้อสายของขุนนางสกุลเก่าเท่านั้นเอง
แต่เมื่อปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงรังเกียจในข้อนี้
ทั้งเป็นพระประสงค์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ
(พระบิดาของพระองค์-ผู้เขียน) และความสมัครของพระองค์จุมภฏฯ เองด้วย
จึงเป็นอันว่าข้าพเจ้ารับพระองค์จุมภฏฯ
เข้ามาเป็นข้าราชการในกระทรวงพระคลังฯ ตามพระบรมราชประสงค์
ด้วยความปีติในพระมหากรุณาธิคุณ...
นอกจากนี้
พระยาโกมากุลมนตรียังได้กล่าวชื่นชมในพระปรีชาสามารถและความขยันขันแข็งในการทรงงาน
ตลอดจนทรงวางพระองค์แบบไม่ถือเจ้าถือนายไว้อย่างน่าประทับใจในตอนหนึ่งว่า
การปฏิบัติงานของพระองค์จุมภฏฯ
นั้น ท่านทิ้งความเป็นเจ้านายอย่างสิ้นเชิง เช่น เข้ามาเสนอหนังสือ
ท่านยืนข้างโต๊ะจนกว่าจะได้รับอนุญาตให้ประทับเก้าอี้
เมื่อต้องรับคำบอกในการร่างจดหมายหรือบันทึก
ข้าพเจ้าให้ประทับเก้าอี้หน้าโต๊ะของข้าพเจ้า พอเสร็จท่านลุกขึ้นทันที
นำร่างนั้นไปพิมพ์ใส่สมุดเซ็นแล้วนำออกไปส่งเจ้าหน้าที่จัดการต่อไปเป็นต้น
ในการประชุมทรงจดการปรึกษาแล้วแต่งรายงานการประชุมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
เก็บข้อความสำคัญๆ ได้ครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อถึงคราวงานชุกมาก เช่น
การจัดทำงบประมาณแผ่นดิน และเมื่อคราวประเทศอังกฤษ
ออกจากมาตราทองคำอย่างกะทันหัน เป็นต้น
ข้าพเจ้าต้องทำงานอยู่ที่กระทรวงจนสองยามเจ็ดทุ่ม พระองค์จุมภฏฯ
ก็อยู่ด้วยเสมอ แม้เมื่อหลังการเสกสมรสใหม่ๆ
ข้าพเจ้าได้อนุญาตให้เสด็จกลับวังได้
(เวลานั้นประทับที่วังสวนผักกาด-ผู้เขียน) ก็ไม่ยอมกลับก่อนข้าพเจ้า...
ในปี พ.ศ. 2476
ภายหลังทรงลาออกจากราชการได้เสด็จไปศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศอังกฤษทรงสำเร็จปริญญาโท(M.A.)
จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และทรงสอบได้เนติบัณฑิตของอังกฤษเมื่อปี พ.ศ.
2480 นับได้ว่าพระองค์ทรงใฝ่ศึกษาหาความรู้ในวิทยาการต่างๆ
อย่างไม่รู้จบในตลอดพระชนม์ชีพ
ทรงงานที่สภากาชาดไทย
กิจการสภากาชาดไทยนั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาในรัชกาลที่ 5
เมื่อแรกทรงพระราชทานนามว่า
สภาอุณาโลมแดง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือทหารหาญที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับฝรั่งเศสในเหตุการณ์
ร.ศ. 112 ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า สภากาชาดสยาม
ครั้นถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สภากาชาดไทย
อันสภากาชาดไทยนั้นได้รับการวางรากฐานอย่างดีและอยู่ในพระอุปถัมภ์ของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระราชโอรส-ธิดา ในรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะในสายราชสกุล
บริพัตร
คือ จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต และสมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ผู้ทรงริเริ่มบริจาคเงินสร้างตึกสุทธาทิพยรัตน์ตามพระนามของพระองค์
ซึ่งถือเป็นสิ่งปลูกสร้างหลังแรกของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ใช้เป็นหอพักนักศึกษา และอาคารสำนักงานของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ต่อมาในปี พ.ศ.2491
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตทรงดำรงตำแหน่งอุปนายก ผู้อำนวยการสภากาชาดไทย
ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ โดยทรงสานต่อจากพระบิดา ตำแหน่งอุปนายกฯ
เป็ฯตำแหน่งที่ต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อสาธารณชน
ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ไว้อย่างดียิ่งตลอดระยะเวลา 12 ปี
ที่ทรงงานสภากาชาดไทย พระภาระกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นนอกจากงานประจำวันซึ่งมีอยู่มากมายแล้ว
ยังมีงานอื่นๆ ที่ทรงสนพระทัยมากเป็นพิเศษนั่นคือ
ทรงช่วยบรรเทาทุกข์ราษฎรในเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน อาทิ ภัยน้ำท่วม ไฟไหม้
โรคระบาด ความอดอยาก และภัยสงคราม เป็นต้น ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น
พระองค์ก็จะต้องเสด็จมาถึงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในทันที หรือ
ถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงก็จะประทับแรมที่นั่นจนต้องอดตาหลับขับตานอนเป็นเนืองนิตย์
หรือในเวลาที่หน่วยบรรเทาทุกข์ออกไปบริการแก่ราษฎรตามจังหวัดต่างๆ
พระองค์ก็มักเสด็จตามไปด้วย ต้องทรงฝ่าฟันภยันอันตรายในการเดินทางมากมายเพียงใด
ก็มิได้ทรงนึกถึงส่วนพระองค์แม้แต่น้อย
หากแต่ทรงบัญชาการเองเกือบทุกครั้งที่เสด็จฯ
ทั้งนี้ก็เพื่อทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรนั่นเอง
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2494
เมื่อครั้งที่สภากาชาดไทยส่งหน่วยพยาบาลไปกับกองทหารไทยที่ไปช่วยรบในประเทศเกาหลี
พระองค์ได้เสด็จเดินทางไปเยี่ยมทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบทั้งที่เกาหลีและญี่ปุ่น
รุ่งขึ้นปีถัดมาได้เสด็จไปประชุมสากลกาชาดครั้งที่ 18 ณ ประเทศแคนาดา
ต่อมาในปีพ.ศ. 2500 ได้เสด็จไปประชุมสากลกาชาดครั้งที่ 19 ณ ประเทศอินเดีย
การเสด็จทั้ง 2 ครั้งนี้ ทรงไปในฐานะตัวแทนสภากาชาดไทย
อุปสรรคยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของสภากาชาดไทยในสมัยที่พระองค์ทรงดูแลอยู่นั้นก็คือการขาดแคลนทุนทรัพย์
พระองค์ก็ได้ทรงสละทุนทรัพย์มากมายเพื่อการนี้
รวมทั้งทรงติดต่อหาทุนในต่างประเทศจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี นอกจากนี้ ในปี
พ.ศ. 2497 พระองค์และพระชนนีรวมถึงพระขนิษฐาและพระอนุชาได้พร้อมพระทัยกันสร้างตึก
บริพัตร
เพื่อใช้เป็นสำนักงานกลางถาวรของสภากาชาดไทยขึ้นภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธาน
ทรงเปิดตึกนี้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2497 นอกจากนี้
ยังได้ทรงประทานทุนทรัพย์เจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อใช้ตามตึกพยาบาลทั่วไปภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ตลอดระยะเวลา 12 ปี ในตำแน่งองค์อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดไทย
กิจการได้พัฒนาก้าวไกลไปมากทั้งในเรื่องการรักษาพยาบาล
งานช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชน
การเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะแก่เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล
ตลอดจนการติดต่อและขอความร่วมมือกับองค์การสภากาชาดนานาประเทศ
และที่สำคัญก็คือทางรัฐบาลได้ให้ความอุปการะแก่สภากาชาดไทยมากยิ่งขึ้นกว่าสมัยก่อน
ในส่วนที่เป็นคุณประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยโดยตรง
ซึ่งเกิดจากพระดำริของพระองค์ก็คือ
เจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทยทุกท่านจะได้รับเงินบำเหน็ดและบำนาญ
(แต่เดิมจะได้รับเพียงบำเหน็ด)
ผลงานชิ้นสำคัญของพระองค์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติของสภากาชาดไทยก็คือ
การอพยพญวนออกไปจากเมืองไทย ญวนกลุ่มนี้ได้ลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทยมีประมาณ
50,000 คน เข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินในแถบภาคอีสาน
และเพื่อรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง
ทางรัฐบาลไทยจึงคิดที่จะย้ายพวกญวนออกไปจากเมืองไทย
แต่โดยที่รัฐบาลไทยกับรัฐบาลเวียดนามเหนือไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน
ทางสภากาชาดของทั้งสองประเทศจึงต้องเป็นฝ่ายติดต่อเอง
พระองค์ก็ได้ทรงดำเนินการในเรื่องนี้อย่างแข็งขันเพื่อที่จะผลักดันพวกญวนออกไปจากไทย
และในที่สุดการเจรจาตกลงก็สำเร็จดังพระประสงค์เป็นที่พอพระหฤทัย
หลังจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาไชยาทนเรนทรได้สิ้นพระชนม์
พระองค์ก็ทรงอยู่ในฐานะเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า
ให้ทำหน้าที่ผู้นำพระราชวงศ์ฝ่ายหน้าในพระราชพิธีต่างๆ และทรงประกอบพระกรณียกิจแทนพระองค์อยู่เป็นเนืองนิตย์
ต่อมาในปีพ.ศ. 2495 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาเป็นเจ้านายต่างกรม ทรงเฉลิมพระยศเป็น
พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต
เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ที่ได้ทรงรับราชการฉลองพระเดชพระคุณในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาตลอดถึง
12 ปี ต่อมาในปีพ.ศ. 2500 ทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศจาก พันเอก
เป็น พลตรี
นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
และโดยที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ในการบรรเทาทุกข์ด้วยความอาจหาญและพระวิริยะอุตสาหะอย่างต่อเนื่อง
ตลอดจนทรงมีพระอุปการคุณต่อกิจการสภากาชาดไทยเป็นยิ่งนัก
คณะกรรมการสภากาชาดไทยจึงได้มีมติถวายเหรียญกาชาดสรรเสริญและเหรียญกาชาดสมนาคุณขั้น
1 แด่พระองค์ในปีเดียวกันด้วย
นอกเหนือจากพระกรณียกิจดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
พระองค์ยังทรงได้รับการยกย่องจากบุคคลในวงการต่างๆ
ให้เป็นนักอนุรักษ์มรดกไทยที่ดีเด่น ด้วยทรงสนพระทัยในศิลปโบราณวัตถุต่างๆ
ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งงานจิตรกรรม
ปฏิมากรรม และข้าวของเครื่องใช้ในราชสกุลบริพัตร เป็นต้น
โดยทรงสะสมสานต่อจากพระบิดารวมทั้งทรงหาซื้อเพิ่มเติมทีหลัง อาทิ
หมู่ตำหนักไทย หอเขียนยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา เทวรูปต่างๆ
ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง เครื่องดนตรีไทย หัวโขน
และหุ่นละครต่างๆ จากที่ได้ทรงสะสมศิลปวัตถุโบราณนี่เอง
จึงได้มีพระดำริทรงจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาเรียกว่า
พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
เพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาและแหล่งศึกษาและแหล่งรวมสมบัติอันล้ำค่าของชาติสืบไป
วังสวนผักกาดแห่งนี้นับเป็นสถานที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
และได้รับคัดเลือกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปีพ.ศ. 2537
โดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ศาสตราจารย์ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล
ได้ทรงกล่าวถึงพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดของเสด็จในกรมฯ ไว้ตอนหนึ่งว่า
ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่าขณะเมื่อข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษาวิชาโบราณคดีอยู่ในประเทศอังกฤษราว
16 ปีมาแล้ว ครั้งหนึ่งกรมหมื่นนครสวรรค์ฯ และหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์
ได้เสด็จและมายังประเทศอังกฤษ ข้าพเจ้าจึงได้ไปรับใช้และรับเลี้ยงท่านด้วย
วันหนึ่งเสด็จในกรมฯ
มีรับสั่งชวนข้าพเจ้าให้ไปช่วยเลือกซื้อพระพุทธรูปอินเดียในศิลปคันธารราฐ ณ
ร้านสปิงส์(spinks)
อันเป็นร้านค้าของเก่าที่มีชื่อเสียงที่สุดร้านหนึ่งในกรุงลอนดอน
แต่ตรัสห้ามมิให้ชวนหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ไปด้วย
เพราะขณะนั้นหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ยังมิสู้สนใจในโบราณวัตถุนักเสด็จในกรมฯ
ทรงเกรงว่าถ้าไปด้วยก็คงจะแนะให้ซื้อพระพุทธรูปคันธาราฐที่ไม่สู้ดีแต่ราคาถูกเป็นแน่
เราจึงไปกันเพียง 2 คน และข้าพเจ้าได้ทูลแนะให้เสด็จในกรมฯ
ทรงซื้อพระพุทธรูปคันธารราฐที่ไม่สู้ดีแต่ราคาถูกเป็นแน่ เราจึงไปกันเพียง
2 คน และข้าพเจ้าได้ทูลแนะนำให้เสด็จในกรมฯ ทรงซื้อพระพุทธรูปคันธารราฐองค์งาน
ซึ่งจำได้ว่าราคาขณะนั้นดูเหมือนจะประมาณ 100 ปอนด์
พระพุทธรูปองค์นี้ปัจจุบันก็ยังคงเป็นโบราณวัตถุชิ้นเอกในพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด
ต่อมาเสด็จในกรมฯ ได้โปรดให้รื้อตำหนักไทยของพระบิดาคือสมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต มาปลูกไว้ที่วังสวนผักกาด
และทรงเริ่มตกแต่งตำหนักเหล่านั้นด้วยโบราณวัตถุไทยที่สมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯได้เคยทรงรวบรวมไว้แต่ก่อน
รวมทั้งที่ทรงซื้อหามาเพิ่มเติมก็มีบ้าง.
เมื่อเสด็จในกรมฯ และม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์
ได้จัดตำหนักเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น
และได้ไปชมพิพิธภัณฑ์เนซุ(Nazu) เข้า
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เดิมเป็นของนายเนซุผู้เป็นราชาแห่งการรถไฟของญี่ปุ่น
เมื่อเจ้าของวายชนม์แล้วได้ทำพินัยกรรมยกพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นให้แก่รัฐ
และยังคงเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่สำคัญอยู่นอกกรุงโตเกียวเล็กน้อย
มีผู้คนไปชมมากจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นเข้าก็นึกถึงตำหนักไทยของเสด็จในกรมฯ และม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์
ทันที
จึงได้กลับมากราบทูลว่าเมื่อท่านทั้งสองล่วงลับไปแล้วขอให้ประทานตำหนักไทยรวมทั้งโบราณวัตถุที่จัดแสดงแก่ชาติเถิด
ส่วนตัววังนั้นถ้าจะประทานใครก็ประทานไปขอประทานแต่ตำหนักไทย โบราณวัตถุ
และพื้นที่ดินอันเป็นที่ตั้งตำหนักไทยเท่านั้น
ข้าพเจ้าจังได้กราบทูลด้วยว่าต่อไปภายหน้าถ้าประทานตำหนักไทยนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑสถานแล้ว
ก็น่าจะให้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์จุมภฏ-พันธุ์ทิพย์
เลียนแบบพิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย-อัลเบิต ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เสด็จในกรมฯ ทรงเห็นด้วยกับความคิดนี้ทันที
ถึงกับรับสั่งว่าถ้าประทานจะประทานทั้งวังสวนผักกาด เพราะเหตุว่าขณะนั้นม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ได้ปรับปรุงสวนโดยรอบตำหนักไทยให้สวยงามยิ่งนัก
ทรงเกรงว่าถ้าประทานเฉพาะตำหนักไทย บริเวณก็จะหายสวยไปหมด
ข้าพเจ้าเข้าใจว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ความคิดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์จุมภฏ-พันธุ์ทิพย์
ได้เกิดขึ้นแก่เสด็จในกรมฯ และ
ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ก็ได้มีเมตตาต่อข้าพเจ้าอยู่เนืองๆ เช่นได้เคยประทานเงิน
10,000 บาท ให้แก่ห้องสมุดของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น
และได้ประทานอนุญาตให้นักศึกษาคณะโบราณคดีที่ยากจนเข้ามาอาศัยรับใช้อยู่ในวังสวนผักกาดถึง
3 คน ในปีพ.ศ. 2501 เสด็จในกรมฯ และม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ได้หอเขียนมาจากวัดบ้านกลิ้ง
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ความจริงหอเขียนนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจในโบราณวัตถุสถานของ
ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ เป็นอย่างดี เพราะม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์
เป็นตัวตั้งตัวตีมาตั้งแต่ต้นโดยตลอด ลงท้ายเสด็จในกรมฯ
ต้องเสียเงินเป็นอันมาในการบูรณะหอเขียนนี้
ข้าพเจ้ายังจำได้ดีถึงการที่ท่านทั้งสองตื่นเต้นในภาพเขียนใหม่ๆ
ที่ค้นพบ ทั้งนี้เพราะแต่เดิมน้นภาพลายรดน้ำในหอเขียนลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว
ช่างต้องค่อยๆ เอาแป้งโรยจึงมองเห็นเป็นเส้นนูนขึ้นมา
แล้วจึงซ่อมด้วยการเขียนด้วยรักและทองตามเส้นเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง
หอเขียนนี้อาจสร้างขึ้นในปลายสมัยอยุธยา
และปัจจุบันก็เป็นโบราณสถานอันล้ำค่าอีกแห่งหนึ่งในพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดและประเทศไทย
จัดว่ามีอยู่เพียงหลังเดียวในปัจจุบันที่มีภาพลายรดน้ำอันสวยงามและภาพสลักที่น่าชมเช่นนี้
ข้าพเจ้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้นำศาสตราจารย์หญิงมีชื่อทางด้านโบราณคดี
คือ ศาสตราจารย์ สเตลลา กรามริช (Stella Kramisch)
มาชมพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด และเมื่อได้ชมเสร็จแล้ว
ข้าพเจ้าได้ถามเธอว่าท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง
ศาสตราจารย์ผู้นี้ได้กล่าวตอบว่าข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นทีเดียว( I
am overwhelmed) น่าเสียดายที่ว่าในปีพ.ศ. 2502
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ได้สิ้นพระชนม์ลง ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์
จึงได้พยายามกระทำทุกอย่างสืบต่อลงมาจากที่เสด็จในกรมฯ
ได้ทรงกระทำไว้...กล่าวโดยย่อพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดนี้เป็นสถานที่ที่น่าชมที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับทางด้านโบราณวัตถุและทิวทัศน์อันสวยงาม
ปัจจุบันจะมีชาวต่างประเทศเข้ามาชมเป็นอยู่เนืองๆ
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต
ได้ทรงรับราชการฉลองพระเดชพระคุณแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
รวมระยะเวลาที่ทรงงานถึง 12 ปี ตราบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์
ด้วยพระโรคพระหทัยวายเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2502 ณ วังสวนผักกาด
สิริพระชันษาได้ 55 ปี